Header Ads

สามราชาแห่งวงการเกม ที่ถูกผู้เล่นยกย่องว่า 'ขี้จุ๊' ที่สุด

ภาพจาก : New disappointment discovered : No Man's Sky

ขออนุญาติแปะเพลงบิ้วท์อารมณ์กันเสียเล็กน้อย

https://www.youtube.com/watch?v=rcjpags7JT8

ไม่ใช่บทความที่เขียนขึ้นมาเพื่อด่าพวกเขาแต่อย่างใด แค่อยากจะเกาะกระแส No Man's Sky นิดหน่อยก็เท่านั้น เกมเมอร์หลายคนน่าจะรู้จักกันดีกับเรื่องราวดราม่าเกี่ยวกับ No Man's Sky ที่ตัว Sean Murray โม้เหม็นเอาไว้เสียแหลกลาน ทำให้เป็นแรงบันดาลใจของการเขียนบทความนี้ขึ้นมา แม้ว่าวงการเกมที่มักจะขึ้นชื่อเรื่องที่ว่าเป็นวงการที่มักจะมีดราม่าการโกหกสูงที่สุด อาทิการตลาด Ubisoft ที่หลอกเอาภาพเกมสวยๆมานำเสนอ แต่พอขายจริงภาพเละลงไม่พอ บัคบานอีก แต่ถ้าพูดถึงบุคคลที่ขึ้นชื่อเรื่องการโม้มั่วซั่วมากที่สุด ชื่อของสามคนนี้จะต้องปรากฏอย่างแน่นอน นั่นคือ Sean Murray เจ้าของสตูดิโอ Hello Games, Todd Howard ไดเรคเตอร์ของ Bethesda Softworks และ Peter Molyneux ดีไซน์เนอร์

วันนี้เราจะมาดูกันว่าพวกเขาเป็นใครกัน แล้วอะไรทำให้เกมเมอร์ทั่วโลกล้อเลียนว่าพวกเขาเป็นราชาแห่งการโม้

Peter Molyneux




น่าจะเป็นคนที่ทุกคนรู้จักน้อยที่สุดแล้วถ้าไม่ใช่เกมเมอร์วัยเก๋าจริงๆ สำหรับบางคนแล้ว เขาคือเจ้าพ่อแห่งวงการเกมกันเลยทีเดียว เพราะเป็นผู้ให้กำเนิดเกมมากมายที่เกมเมอร์วัยเก๋ายังรักมันจนถึงทุกวันนี้ อาทิ Black & White, Fable, Theme Park เขายังเป็นผู้ก่อตั้ง Lionhead Studios (ที่ถูก Microsoft ซื้อมาตั้งแต่ปี 2006 และลาออกมาตั้งแต่ปี 2012) และเป็นผู้ร่วมพัฒนาเกม Godus (ซึ่งคนด่าเละใน Steam) อีกด้วย

ว่าแต่อะไรทำให้เขาถูกยกย่องว่าเป็นเจ้าพ่อการโม้กันล่ะ เรื่องมันไปเกิดที่ Fable ภาคแรกครับ ก็คือป๋า Peter เนี่ยแกโม้ว่า Fable นั้นจะเป็นเกมที่ทุกอย่างดำเนินเรื่องเหมือนเราใช้ชีวิตจริงๆ! "คุณจะได้ใช้ชีวิตในฐานะฮีโร่ของเกมตลอดช่วงชีวิตของเขา คุณจะมีลูกได้ ปลูกป่าเอาไว้ที่บ้านแล้วดูมันเติบโตไปกับเราได้ สามารถทำรอยบนต้นไม้เอาไว้ได้ และต่อให้เวลาผ่านไปสิบปี มันก็จะยังอยู่ แถมยังมีอิสระ เราสามารถวางยาพิษใส่คนในหมู่บ้านได้ สามารถซื้อบ้านทุกหลังในเกม Fable ได้ ทุกอย่างที่เราทำสมัยเด็กจะมีเอฟเฟคต์ผลกระทบเมื่อเราโตขึ้นมาแบบเห็นได้ชัดทันที



ฟังดูเกินจริงใช่ไหมล่ะ ก็เพราะว่ามันเกินจริงน่ะเซ่!

ฟีเจอร์ที่ผมร่ายมาถ้าพี่แกพูดถึง The Sims ผมจะไม่สงสัยเลยครับ เสียแต่ว่านี่มันเกม RPG นี่นะ ฟังดูเกินจริงมากไปไหม สุดท้ายแล้วแม้ Fable จะยังได้รับคำชมอยู่ แต่แฟนๆสมัยนั้นก็หัวเสียกันกระจายเหมือนกันว่าทำไมพี่แกต้องโกหก แต่นี่ยังไม่ใช่จุดจบของการผจญภัยของเขา เลื่อนมายังเกมต่อมา 'The Movies' เป็นเกมว่าด้วยการสร้างหนัง จ้างคนมาเขียนสคริปต์หนัง จากนั้นก็หาตัวผู้กำกับ ลูกมือ นักแสดงมาเล่นหนังแล้วทำเงินให้แก่เรา ตัวเกมก็สนุกดีครับ แต่มีช่วงหนึ่งที่เขาบอกว่า The Movies จะมี Feature ที่จะสามารถสร้างภาคต่อของหนังที่เราสร้างในเกมได้ด้วย!



"มีตอนนึง เขาได้นำเสนอฟีเจอร์นี้ในการนำเสนอเกมรอบสื่อครับ เขาบอกทุกคนในห้องว่าในเกม The Movies จะมีฟีเจอร์สร้างภาคต่อของหนังในเกมได้ด้วย แล้วเขาก็บอกให้ผมเริ่มการนำเสนอ ตอนนั้นผมเหวอเลยนะเพราะเราไม่ได้ทำฟีเจอร์นี้ขึ้นมาเลย และกว่าจะทำได้คงต้องใช้เวลาพอสมควรเลยแหละ ยังดีว่าเราผ่านมันมาได้ มันเหมือนว่าพวกเขาขายความฝันให้ทุกคนที่ติดตามเขา เพื่อที่จะได้บังคับให้คนที่ทำงานกับเขาทำตามที่เขาต้องการให้ทันเวลาอะไรแบบนี้เลยนะ"

และหลังจาก Godus งานใหม่ของเขากับสตูดิโอใหม่ 22cans นั้นเละไม่เป็นท่า ไม่นานเขาก็ออกมาสารภาพผ่าน Kickstarter ครับว่า หลาย Feature ใน Godus ที่เขียนไว้บนหน้า Kickstarter ขึ้นมานั้น เขาใส่เพียงเพื่อเม็ดเงินเท่านั้นครับ อารมณ์ยิ่งโม้เยอะ คนยิ่งสนใจบริจาคให้เยอะสำหรับมุมมองของเขา นั่นทำให้ Molyneux ยังคงโดนทุกคนล้อเลียนเกี่ยวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นจนถึงทุกวันนี้ และนั่นทำให้ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เขาพูดอีก กระทั่งออกมาประกาศไม่ขอออกสื่ออีกในปี 2015 ที่ผ่านมา

Todd Howard




It Just Work! รายนี้คิดว่าน่าจะมีคนรู้จักเยอะกว่าท่าน Peter พอสมควร เพราะด้วยตำแหน่งเป็นถึงไดเรคเตอร์ของเกม Action-RPG ชั้นนำที่ก่อให้เกิดกองกำลังแฟนบอย (เรียกในบอร์ดต่างประเทศว่า Bethesda Drone) ลุกมาปกป้องมากมายอาทิ Elder Scrolls และ Fallout จึงไม่แปลกใจว่าจนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีคนปกป้องเขาอยู่เกี่ยวกับเกม Fallout 4 และไม่ยอมรับว่า Fallout 4 นั้นไม่ใช่เกม RPG เรื้อยๆตลอด

แต่เราไม่ได้มาพูดถึงเรื่องสงครามแฟนบอยเกี่ยวกับเกมของเขา เราจะมาคุยกันว่าทำไมเขาถึงถูกเกมเมอร์ทั่วโลกมองว่าขี้จุ๊ไม่แพ้ Molyneux เรื่องของเรื่องก็คือยังคงเป็นการโม้เพื่อการตลาดเช่นเดิม สิ่งเดียวที่แย่กว่า Molyneux ก็คือเขาโม้แทบทุกเกมเนี่ยแหละ เริ่มตั้งแต่ Fallout 3 เขาบอกกับสื่อในวงการเกมว่า Fallout 3 จะมีจุดจบมากกว่า 200 แบบในเกม! ฟังแค่นี้ก็คงต้องแอบสบฏแล้วล่ะว่า 'โม้ป่าวหว่า' แต่ตำนานของเขายังไม่จบ ย้อนกลับไปเมื่อปี 2006 ก่อนที่จะมี DLC เกราะม้าในตำนาน Todd ได้โม้ว่า The Elder Scrolls IV: Obilivion จะเป็นเกม RPG แรกที่มี AI โดดเด่นเป็นธรรมชาติ ก็คือ AI ที่ไม่มีสคริปใดๆ เลย ทุกอย่างที่พวกเขาทำจะมีส่วนสำคัญต่อตัวเราทั้งหมด ...และนั่นก็เป็นคำโกหกเช่นกัน (บาง NPC ก็ไม่มีความจำเป็นใดๆต่อเกม แต่ที่แน่ๆทุก NPC มีสคริปแน่นอน)



ต่อมาหันมายุคใหม่ๆหน่อย Elder Scrolls V: Skyrim ครับ Howard เผยว่าทุกภูเขาที่เราเห็นในเกมนั้นสามารถปีนขึ้นไปได้! ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายก็มีกำแพงล่องหน และบางภูเขานั้นไม่มีทางปีนได้ เอาที่ชัดเจนกว่านั้นก็โม้ว่า 'Skyrim จะมีเควสไม่จำกัด!' ซึ่งสุดท้ายก็เป็นเพียงเควสทำซ้ำกี่รอบก็ได้ไม่รู้จบ แต่จุดหมายก็เหมือนเดิม หรือแม้แต่ตรงที่ว่า 'เราไม่ได้ใช้เอนจิ้นอายุเป็นสิบปีอย่าง Gamebyro!' นี่ก็โกหกหน้าด้าน ล่าสุดก็ Fallout 4 กับ Pip-Boy ที่โม้ใน E3 ว่ามันจะเหมือนของในเกมเลย สุดท้ายก็เป็นแค่ Replica โมเดลพลาสติคเอาไว้ตั้งโชว์ได้อย่างเดียวใส่ได้เฉพาะบางคนเท่านั้นไปเสียนี่...

เอาตามตรงแล้ว เกมที่เขาเป็นหัวหอกควบคุมและสร้างมันขึ้นมา อาทิ Fallout 3 หรือ Skyrim ก็ไม่ใช่เกมที่แย่หรอกครับ จริงๆ มันก็สนุกใช้ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งการสนับสนุนของ Mod ที่ทาง Bethesda ผลักดันเต็มที่ก็ทำให้มันเป็นเกมที่ดีไปโดยปริยาย แต่ถ้าดูที่เนื้อเกมเพียวๆ ไม่มี Mod ผสมก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า Bethesda ทำเนื้อเรื่องเกม Action-RPG ได้ห่วยแตกมาก ทั้งด้านการเล่าเรื่อง เนื้อหาของเกม พัฒนาการตัวละคร บวกกับด้านความลึกของเกมที่กำลังจะกลายเป็นเกมยิงล้วนๆเหมือน Call of Duty หรือ Far Cry ไปทุกขณะ เมื่อเอาไปเทียบกับเกมอย่าง The Witcher 3 ในด้านนี้ยิ่งทำให้เกม Action-RPG ของ Bethesda ดูตกต่ำไปอีก กลายเป็นตระกูลเกมที่หากินแต่ความเป็น Sandbox เปิดกว้างเป็นสนามเด็กเล่นแก่ผู้เล่นอยากทำอะไรก็ได้อย่างเดียวไปเสียอย่างงั้น



ทั้งนี้ต่างกัน Molyneux ที่ดูจะกึ่งๆ เกษียณไปแล้ว เรายังมีอะไรหรรษาเกี่ยวกับอนาคตของเกมที่นาย Howard คนนี้เป็นผู้กำกับอีกเยอะครับ รอติดตามกันได้ใน Elder Scrolls ภาคต่อไปเล้ย! รอบนี้ขอดาบสักห้าพันเล่มเลยนะพี่

Sean Murray




อันนี้น้องใหม่มาแรง หันไปทางไหนของเว็บบอร์ดต่างประเทศของวงการเกมเป็นต้องพูดถึง กับผู้ก่อตั้งสตูดิโออินดี้ที่มีพนักงานเพียง 10 คนอย่าง Hello Games บริษัที่พัฒนาเกมที่ Murray เผยว่าเกือบยกเลิกการพัฒนาเกมเพราะสตูดิโอถูกน้ำท่วมมาแล้ว 'No Man's Sky'

ทำไมเขาถึงกลายเป็นราชาน้องใหม่ เรื่องของเรื่องก็ต้องย้อนไปตั้งแต่ปี 2014 นับตั้งแต่วันที่ Murray ประกาศเปิดตัวเกม ก็มี Feature มากมายถูกพูดถึงว่ามันจะเกิดขึ้น อาทิระบบฝ่ายในเกมที่เราสามารถเข้าไปยุ่งเอี่ยว หรือบืนหนีก็ได้, ระบบ Multiplayer ที่อ้างว่าเราจะสามารถตะลุยอวกาศอันไร้ขอบเขตใน No Man's Sky ไปกับเพื่อนของเราได้อย่างสนุกสนาน ดาว 18 พันล้านดวงที่สุ่มทุกอย่างอย่างเป็นระเบียบไม่มีทางซ้ำกัน ระบบคราฟของเกมที่จะทำมาอย่างซับซ้อนหลากหลาย เราจะทำอะไรก็ได้ความเป็นไปได้มีไม่สิ้นซู๊ด!!



ปรากฏว่าที่ว่ามา แทบไม่เป็นจริงในเกมสักอย่างครับ

ก่อนเกมออกสองสามวัน หลังจากมีข่าวเกี่ยวกับผู้เล่น No Man's Sky สองท่านยืนในที่เดียวกัน แต่มองไม่เห็นซึ่งกันและกัน เราก็เริ่มที่จะเห็น Murray ออกมาแก้ตัวเรื่อยๆว่าเกมมีมัลตินะ แค่หากันเจอยากแค่นั้นเอง, No Man's Sky ไม่ใช่เกม Multiplayer ได้โปรดอย่าได้เข้าไปมองหาประสบการณ์อะไรแบบนั้นในเกม หนักกว่านั้นก็ถึงขั้นลงทุนเอาสติ๊กเกอร์เรท 7 ปีมาแทนที่ 12 ปีเพียงเพราะของเดิมมีโหมดเล่นหลายคนกันเลยทีเดียว แม้แต่ดาวที่ว่าทุกอย่างสุ่มหมดก็โม้เหม็น เพราะในเกมจริงๆ นอกจากสีในดาวแล้วเอาจริงๆก็ไม่ได้มีอะไรต่างไปจากดาวก่อนเลย นี่ยังไม่รวมของสดร้อนๆ อย่างที่บอกว่า No Man's Sky จะไม่มี DLC เสียเงินด้วยนะ ถึงจะอ้างว่าเป็นเกมอินดี้แต่ดูรอบนี้คงจะฟังไม่ขึ้นแล้วแหละพี่ Sean เอ้ย ไม่แปลกใจว่าทุกคนจะยกย่องให้เขาเป็น Todd Howard ประจำวงการเกมอินดี้ไปในทันที



จริงๆยังมี Randy Pitchford แต่รายนั้นมีแค่เกมเดียวคือ Alien: Coloniel Marines ดังนั้นเจ๊าๆ กันไปก่อน แล้วก็ Ubisoft กับกรณี Downgrade แต่เราขออยู่ที่เรื่องคนต่อคนไม่เหมาทั้งกรมดีกว่านะ ทั้งนี้บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาจะโจมตีพวกเขาแต่อย่างใด เพราะไม่ว่าพวกเขาจะโกหกอย่างไร พวกเขาก็ยังเป็นคนที่นำเกมที่ใช้เวลาพัฒนายาวนานและยากลำบากมาให้เราเล่นกันอยู่ดี ก็อยู่ที่ท่านผู้อ่านคนเดียวนั่นแหละว่าความผิดของเขานั้นแรงพอที่จะทำให้เราโจมตีพวกเขาหรือไม่ แต่จงอย่าลืมพวกเขาก็แล้วกันว่าถ้าไม่มีพวกเขาเราก็ไม่มีเกมที่มีไอเดียมากมายน่าสนใจทุกวันนี้ล่ะนะ ทุกคนคิดยังไงกับบทความนี้ก็เชิญแสดงความเห็นกันมาได้เลย!

ไม่มีความคิดเห็น